วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

หลัก 5 อ. ดูแลผู้สูงวัยสุขภาพดี อายุยืน

การยึดหลัก 5 อ. ได้แก่ อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์ อดิเรก และอนามัย ในการดูแลผู้สูงอายุ จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดี และอายุยืน



น.พ.ธีรพล โตพันธานนท์ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงที่สุดในอาเซียน และกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากประชากรผู้สูงอายุของประเทศไทยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีมากถึงร้อยละ 14 ซึ่งเป็นผลมาจากความก้าวหน้าด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทย ทำให้อัตราการเกิดน้อยลง ประชากรมีอายุยืนยาวมากขึ้น
จึงคาดการณ์ได้ว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด คือ มีประชากรผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 30 หากแต่การเตรียมความพร้อมของประชาชน พบว่า มีการเตรียมความพร้อมเพื่อเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพน้อยมาก และผู้สูงอายุมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ หรือพฤติกรรมสุขภาพที่ดีน้อยมากเช่นเดียวกัน วัดได้จากการเป็นสมาชิกชมรมและเข้าร่วมกิจกรรมชมรมผู้สูงอายุ การดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะทุพพลภาพและต้องได้รับการเยี่ยมบ้าน และการเข้ารับตรวจคัดกรองสุขภาพประจำปี
น.พ.ธีรพล กล่าวต่อไปว่า แนวโน้มผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หากไม่มีการเตรียมความพร้อมรับมือ อาจส่งผลกระทบทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจและสังคมได้ นอกจากนี้ พฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุ พบว่า มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ กรมอนามัย จึงได้เร่งดำเนินการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ โดยเน้น 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มผู้สูงอายุสุขภาพดี โดยการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรง และชะลอการเกิดโรคเรื้อรัง กลุ่มที่ 2 คือผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยให้สามารถรักษาตนเอง และบรรเทาอาการเจ็บป่วยให้ดีขึ้นได้จากการพิการหรือทุพพลภาพ

"ทั้งนี้ การปฏิบัติตนที่ถูกต้องและเหมาะสมตามหลักการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุตามหลัก 5 อ. ได้แก่ 1.อ.อาหาร รับประทานอาหารให้หลากหลาย ได้สัดส่วนเพียงพออิ่ม ครบ 5 หมู่ เน้นย่อยง่ายและสะอาด อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น อาหารที่มีไขมันสูง หวานจัด เค็มจัด และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 2.อ.ออกกำลังกาย โดยออกกำลังกายทุกส่วนสัด กระตุ้นจังหวะการเต้นของหัวใจ ผู้สูงอายุควรเคลื่อนไหวออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม มีหลากหลายวิธี เช่น ยืดเส้นยืดสาย ยืดเหยียด ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง เดินเร็ว ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เป็นต้น และหลีกเลี่ยง การแข่งขัน ออกแรงเกินกำลัง ความเร็วสูง เกร็ง เบ่ง ยกน้ำหนัก การอยู่ในสถานที่ร้อนอบอ้าว อากาศไม่ถ่ายเท อยู่กลางแดดจ้า
3.อ.อารมณ์ คือ อารมณ์รื่นเริงยินดี ชีวีสดใสด้วยรอยยิ้ม จิตแจ่มใส มองโลกในแง่บวก ไม่เครียด ช่วยเหลือให้คำแนะนำแก่ลูกหลาน คนรอบข้าง 4.อ.อดิเรก สร้างสรรค์งานอดิเรก เพิ่มพูนคุณค่า เกื้อกูลสังคม หากิจกรรมงานอดิเรกที่ชอบ ทำแล้วเพลิดเพลิน และมีคุณค่าทางจิตใจ เช่น อ่านหนังสือธรรมะ ฟังเทศน์ฟังธรรม พบปะสังสรรค์ ให้คำปรึกษาแนะนำฟังเพลง ปลูกต้นไม้ และ 5.อ.อนามัย สร้างอนามัยดี ชีวีมีสุข นำพาอายุยืนยาว สร้างเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่ดี หมั่นตรวจและรักษาสุขภาพ ปฏิบัติตนให้ถูกสุขลักษณะ ควรตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง ดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน งด ละ เลิกอบายมุข บุหรี่ เหล้า ของมึนเมา และสารเสพติด"น.พ.ธีรพล กล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ระวัง! โรคและอันตรายที่มาพร้อมหน้าฝน

ระวัง! โรคและอันตรายที่มาพร้อมหน้าฝน 

 กทม.เตือนโรคหน้าฝน 5 โรคและอันตรายจากฝนตกน้ำท่วมขัง และเชื้อไวรัสใหม่ที่กำลังระบาด


สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร (กทม.) แจ้งว่าเนื่องจากช่วงนี้เข้าสู่ฤดูฝนอาจทำให้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆซึ่งสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว จึงควรเฝ้าระวังโรคดังนี้

 1.กลุ่มโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจที่พบบ่อย 5โรค ได้แก่โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวมป้องกันด้วยการใช้ผ้าปิดปากและจมูก(หรือสวมหน้ากากอนามัย) หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ชุมชนและควรล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ
 2.กลุ่มโรคติดต่อระบบทางเดินอาหารและน้ำได้แก่ อุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษบิด ไทฟอยด์ และอหิวาตกโรคป้องกันด้วยการรับประทานอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ๆ ก่อนนำมารับประทานล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ ก่อนรับประทานอาหารก่อนเตรียมอาหารและหลังขับถ่ายทุกครั้ง
 3.โรคที่เกิดจากยุงและสัตว์ ป้องกันอย่าให้ถูกยุงกัดและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงภาชนะเก็บกักน้ำต่างๆต้องปิดให้มิดชิด
 4.โรคที่เกิดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยคือโรคมือเท้าปาก
 5.โรคหรือภัยที่เกิดในภาวะน้ำท่วมได้แก่ โรคตาแดง โรคน้ำกัดเท้าอันตรายจากสัตว์มีพิษกัดเช่น งู ตะขาบ แมงป่อง
 6.อันตรายจากการจมน้ำและ
 7.อันตรายจากไฟฟ้าดูด 

จึงขอให้ประชาชนช่วยกันดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงปลอดภัยจากโรคติดต่อและอันตรายต่างๆ นอกจากนี้อยู่ในช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่หรือเชื้อไวรัสเมอร์สในต่างประเทศจึงขอให้ที่เดินทางไปประเทศที่มีการระบาดดูแลตนเองและการป้องกันการติดควรตรวจสุขภาพก่อนและหลังการเดินทางรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอยู่เสมอเมื่อเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยงให้สังเกตอาการผิดปกติต่ออีก30 วันหากมีอาการไข้ มีน้ำมูกเจ็บคอ ควรพักผ่อนอยู่กับบ้านหากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2วันหรือมีอาการไข้สูง หอบเหนื่อยหายใจลำบาก ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีพร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง.


ที่มา: http://www.dailynews.co.th 
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เห็ดหลินจือ สรรพคุณและประโยชน์ของเห็ดหลินจือแดง 40 ข้อ !

เห็ดหลินจือ สรรพคุณและประโยชน์ของเห็ดหลินจือแดง 40 ข้อ !

เห็ดหลินจือ


เห็ดหลินจือ ชื่อสามัญ Lingzhi mushroom, Reishi mushroom
เห็ดหลินจือ ชื่อวิทยาศาสตร์ Ganoderma lucidum (Curtis) P. Karst จัดอยู่ในวงศ์ GANODERMATACEAE
สมุนไพรเห็ดหลินจือ มีชื่อเรียกอื่นว่า เห็ดหมื่นปี, เห็ดอมตะ เป็นต้น
เห็ดหลินจือ จัดเป็นยาจีนที่ใช้กันมายาวนานกว่า 2,000 ปีแล้ว (Chinese traditional medicine) โดยใช้กันนับตั้งแต่สมัยจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้เป็นต้นมา เห็ดหลินจือ ที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติมีมากมายกว่า 100 สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่นิยมและมีสรรพคุณทางยาที่ดีที่สุดคือ สายพันธุ์สีแดง หรือ เห็ดหลินจือแดง หรือ กาโนเดอร์ม่า ลูซิดั่ม (Ganoderma lucidum) โดยในเห็ดหลินจือจะมีสารพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharide) ซึ่งจะช่วยยับยั้งและรักษาอาการต่าง ๆ (ประโยชน์ด้านล่าง) โดยแต่ละชนิดจะมีปริมาณสารพอลิแซ็กคาไรด์ในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งแน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นสายพันธุ์สีแดงที่กล่าวข้างต้น
เห็ดชนิดนี้จัดว่าเป็นของหายากที่มีคุณค่าสูงในทางสมุนไพรจีน โดยมีการยกย่องว่าเป็นยอดเห็ด เป็นเห็ดที่ดีที่สุดในหมู่สมุนไพรจีน เพราะได้มีการบันทึกในคัมภีร์โบราณ “เสินหนงเปินเฉ่า” (ตำราเก่าแก่ที่คนจีนนับถือกันมากที่สุด) ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า เห็ดหลินจือนี้เป็นเทพเจ้าแห่งชีวิต ที่มีพลังมหัศจรรย์นักวิทยาศาสตร์พบว่าในเห็ดชนิดนี้มีสารต่าง ๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 250 ชนิด !! เป็นยาบำรุงร่างกายและใช้เป็นยาอายุวัฒนะในการยืดอายุ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง รักษาโรคต่าง ๆได้หลายโรค และยังปลอดภัยไม่มีสารพิษใด ๆ ต่อกับร่างกาย !
ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเห็ดหลินจือออกมาจำหน่ายค่อนข้างมาก สำหรับการเลือกซื้อคุณควรศึกษาตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูก เพราะเห็ดหลินจือที่จะมีคุณภาพดีนั้น จะต้องได้รับการเพาะเลี้ยงในสภาวะที่เหมาะสม ทั้งความชื้น แสงสว่าง รวมไปถึงสารอาหารที่ได้รับ และสิ่งที่ต้องดูอีกเรื่องก็คือขั้นตอนการแปรรูป ตรงนี้ก็สำคัญเพราะเป็นกระบวนการที่จะต้องสกัดสารพอลิแซ็กคาไรด์จากเห็ดออกมาให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ยังรวมไปถึงบรรจุภัณฑ์ที่ต้องให้ความสนใจด้วย โดยต้องเป็นบรรจุภัณฑ์ที่สามารถกันความชื้นได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเห็ดชนิดนี้จะไวต่อความชื้นเป็นพิเศษและความชื้นจะทำให้เห็ดหลินจือขึ้นราได้นั่นเอง

ประโยชน์ของเห็ดหลินจือ

  1. สรรพคุณของเห็ดหลินจือเห็ดหลินจือสรรพคุณใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย
  2. ช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สีหน้าแจ่มใส
  3. ช่วยบำรุงและรักษาสายตา
  4. สรรพคุณเห็ดหลินจือใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยทำให้อายุยืนยาว
  5. ช่วยชะลอแก่ ชะลอวัย
  6. ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรง
  7. ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น ให้พลังชีวิตมากขึ้น
  8. ช่วยส่งเสริมระบบการไหลเวียนของเลือดให้ดียิ่งขึ้น
  9. ช่วยทำให้ความจำดีขึ้น
  10. ช่วยผ่อนคลายระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้นอนหลับได้สนิท
  11. ช่วยทำให้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ดีขึ้น
  12. สรรพคุณช่วยรักษาและต่อต้านมะเร็ง โดยส่งเสริมภูมิคุ้มกัน กระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวสร้างสารต้านมะเร็
  13. ช่วยแก้พิษจากรังสี คีโม เช่น เม็ดเลือดขาวต่ำจากคีโม ท้องเสียอักเสบจากการฉายรังสี อาการปวดจากพิษบาดแผล
  14. ช่วยลดความดันโลหิตและรักษาโรคความดันโลหิตสูง
  15. ช่วยปรับความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำให้สมดุล
  16. ช่วยรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
  17. ช่วยป้องกันเส้นเลือดในสมองและหัวใจอุดตัน ป้องกันอัมพฤกษ์ อัมพาต
  18. ช่วยลดไขมันในเลือด
  19. ช่วยรักษาและบรรเทาอาการของโรคหมอนรองกระดูกแตกกดทับเส้นประสาทให้ทุเลายิ่งขึ้น
  20. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยควบคุมอาการเบาหวาน
  21. ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ หอบหืด
  22. ช่วยรักษาโรคประสาท
  23. สรรพคุณของเห็ดหลินจือช่วยบำรุงตับ และรักษาโรคตับ ตับแข็ง ตับอักเสบ
  24. เห็ดหลินจือรักษาโรคไตเรื้อรังบางชนิด โดยช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของไตให้ดีขึ้น
  25. ประโยชน์ของเห็ดหลินจือช่วยรักษาโรคลมบ้าหมู
  26. ช่วยแก้อาการอาหารเป็นพิษ
  27. ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้
  28. ประโยชน์เห็ดหลินจือช่วยขับปัสสาวะ
  29. ช่วยรักษาและบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร
  30. ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อ
  31. ประโยชน์ของเห็ดหลินจือช่วยรักษาโรคเกาต์
  32. ช่วยสลายใยแผลเป็น หรือพังผืดหดยืด ทำให้ในแผลเป็นอ่อนนิ่มและหดตัวเล็กลง
  33. ช่วยยับยั้งเชื้อไวรัส อย่าง ไวรัสเอดส์ อีสุกอีใส งูสวัด
  34. ช่วยรักษาโรคลูปัส อีริทีมาโตซัส ทั่วร่าง (SLE) หรือโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ
  35. ช่วยแก้อาการป่วยบนที่สูง เช่น อาการหูอื้อ
  36. ช่วยรักษาโรคที่มีสาเหตุมาจากการขาดออกซิเจน เช่น ถุงลมโป่งพอง หัวใจหล้มเหลว เส้นเลือดหัวใจตีบ
  37. ช่วยแก้อาการปวดประจำเดือน
  38. ช่วยแก้ปัญหาภาวะมีบุตรยาก
  39. ช่วยป้องกันการเสื่อมสรรถภาพทางเพศ
  40. เห็ดหลินจือจัดเป็นสเตียรอยด์ธรรมชาติ ซึ่งไม่มีสารพิษหรือผลข้างเคียงเหมือนกับสเตรียรอยด์สังเคราะห์

ข้อควรรู้และคำแนะนำ

  • เห็ดหลินจือเหมาะกับใคร? เนื่องจากเห็ดชนิดนี้มีสรรพคุณที่ช่วยป้องกันและบำบัดรักษาโรคซะเป็นส่วนใหญ่ มันจึงเหมาะกับโรคของผู้สูงอายุและวัยก่อนสูงอายุ ที่เป็นโรคดังกล่าวข้างต้น
  • เห็ดหลินจือสกัดรูปแบบของการรับประทาน แบ่งได้หลายรูปแบบ อย่างแรกเลยก็คือยาต้มแบบโบราณ ด้วยการนำเห็ดหลินจือที่แห้งนำมาต้มและเคี่ยว ซึ่งเป็นวิธีที่ค่อนข้างยุงยากและไม่สะดวก แบบที่สอง คือเนื้อเห็ดหลินจือบดเป็นผงบรรจุแคปซูล หากไม่ผ่านการฆ่าเชื้ออาจทำให้มีเชื้อราปนเปื้อนได้ โดยรูปแบบนี้จะมีความเข้มน้อยและดูดซึมได้ยาก แบบที่สามซึ่งเป็นแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ เห็ดหลินจือสกัด หรือ สารสกัดจากเห็ดหลินจือแคปซูล ซึ่งจะได้สารสกัดที่เข้มข้นมีสรรพคุณที่ดีกว่า ดูดซึมและออกฤทธิ์ได้ดีกว่า ที่สำคัญก็คือมีมาตรฐานการผลิตที่สะอาดและปลอดภัย เช่น เห็ดหลินจือโครงการหลวง
  • เห็ดหลินจือกินอย่างไร? สำหรับเวลาที่เหมาะสมก็คือการรับประทานตอนเช้าในขณะที่ท้องว่าง แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ ถ้าทานร่วมกับวิตามินซีด้วยก็จะดีมากเพราะจะช่วยเสริมสรรพคุณ และสำหรับผู้ที่ต้องกินยากดภูมิต้านทานหรือผู้ที่เป็นโรค SLE หรือผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะควรงดการรับประทาน
  • ผลข้างเคียงของเห็ดหลินจือ สำหรับผู้ที่เริ่มรับประทานเห็ดหลินจือใหม่ ๆ อาจจะรู้สึกเวียนศีรษะ อาเจียน ง่วงนอน ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตามข้อ เกิดอาการท้องผูก ท้องเสีย ปัสสาวะบ่อย ผิวหนังเกิดอาการคัน เป็นต้น แต่ก็ถือเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับที่เป็นเรื่องปกติของการบำบัดด้วยสมุนไพร เมื่อตัวยาเข้าไปในร่างกาย จะเข้าไปชำระล้างสารพิษต่าง ๆ ให้สลายไปหรือเคลื่อนไปช่วยย้ายขับสารพิษออกจากร่างกาย จึงทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติดังกล่าว ซึ่งอาการเช่นนี้จะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 2-7 วันก็จะกลับสู่สภาวะปกติ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน หากมีอาการคุณสามารถรับประทานต่อไปได้เลย แต่หากมีอาการมากก็ควรลดปริมาณลง จนกว่าอาการจะเป็นปกติและให้รับประทานตามคำแนะนำต่อไป และสำหรับผู้ป่วยที่กำลังรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง ก็สามารถรับประทานเห็ดชนิดนี้ควบคู่ไปได้
แหล่งอ้างอิง : นพ.นิวัฒน์ ศิตวัฒน์, รศ.พญ.นริสา ฟูตระกูล, นพ.บรรเจิด ตันติวิท



วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2559

5 สัญญาณปวดหลัง เตือนโรค

5 สัญญาณปวดหลัง เตือนโรค (emagazineinfo)



          หนุ่มสาวหลายคนมีอาการปวดหลัง บางคนคิดว่าอาจเกิดจากสาเหตุนั่งมากเกินไป หรือไปทำอะไรผิดท่ามา แต่หารู้ไม่ว่าอาการปวดหลังก็ไม่ได้หมายถึงแค่อาการผิดปกติของกระดูกเท่านั้นนะคะ

          มีคนจำนวนมากที่มีอาการปวดหลังแล้วคิดว่าเป็นอาการที่เกิดกับกระดูก ถามว่าเป็นไปได้ไหมที่จะเกิดความผิดปกติของกระดูก ของกล้ามเนื้อ ก็เป็นไปได้ แต่ในบางรายก็หาเป็นเช่นนั้นไม่

          อาการปวดหลังโดยทั่วไปอาจเป็นอาการปวดหลังจากการนั่งมากเกินไป ยกของหนัก หรือออกกำลังกายมากเกินไป โดยอาการที่รู้สึกได้คือ ปวดเมื่อย กล้ามเนื้อตึง แต่ถ้าหากเป็นหนักจนรู้สึกว่าหลังขยับไม่ได้ หรือปวดร้าวไปจนถึงขาข้างใดข้างหนึ่ง อาจเกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนเคล็ดไปกดทับเส้นประสาท ซึ่งจะต้องไปพบแพทย์ และการรักษาจะต้องให้สวมเสื้อดามหลัง และให้เข้ารับการทำกายภาพบำบัด ส่วนในรายที่อาการหนักมากอาจต้องผ่าตัด

          แต่บางทีอาการปวดที่เราคิดว่าปวดหลัง หรือบางอาการที่ปวดหลังเรื้อรัง ก็ไม่ได้เป็นเพราะกล้ามเนื้อและกระดูกเสมอไป มีลักษณะอาการปวดหลังบางอาการที่เป็นสัญญาณเตือนภัยจากโรคที่เกิดกับอวัยวะภายใน และจำเป็นต้องรีบเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที
5 อาการปวดหลัง ที่บ่งบอกโรค

           1. อาการปวดหลังร่วมกับแขนขาชาไม่มีแรง

          กลั้นปัสสาวะและอุจจาระไม่ได้ ซึ่งลักษณะอาการดังกล่าวเป็นไปได้ว่าไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ ทางที่ดีควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน เพื่อทำการเอกซเรย์ตรวจดูกระดูกสันหลังและหาตำแหน่งที่บาดเจ็บ บางรายเพียงให้นอนพักรักษาตัวก็อาจหายจากอาการดังกล่าวได้ แต่บางรายอาจจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด

           2. ปวดหลังบริเวณเอวและมีไข้หนาวสั่น

          สาเหตุของอาการอาจเกิดจากการติดเชื้ออักเสบของไต หรืออาจเป็นโรคกรวยไตอักเสบ โดยสาเหตุเหล่านี้เกิดได้จากการทานน้ำในแต่ละวันน้อยเกินไป การอั้นปัสสาวะ

          โดยการรักษาแพทย์จะใช้ให้ยาฆ่าเชื้อและยาอื่น ๆ ตามแต่การวินิจฉัยโรค รวมถึงแนะให้ทานน้ำมาก ๆ เปลี่ยนพฤติกรรมการอั้นปัสสาวะ และเมื่อรักษาไตจนเป็นปกติดีแล้ว อาการปวดดังกล่าวก็จะหายไป

           3. ปวดเหนือบั้นเอวทั้งสองข้าง 

          หากมีอาการปวดเหนือบั้นเอวทั้งสองข้าง และเมื่อพบแพทย์แล้ว แพทย์อาจคลำพบก้อนบริเวณไต รวมถึงมีเลือดปนในปัสสาวะ มีความดันโลหิตสูง และมีภาวะโลหิตจางร่วมด้วย ในกรณีนี้เป็นสัญญาณบอกโรคถุงน้ำในไต ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ 

          เมื่อมีถุงน้ำในไต ก็จะทำให้ไตทำงานได้น้อยลง เมื่อไตทำงานได้ลดลงส่งผลเสียต่อร่างกายเกิดโรคความดันโลหิตสูง ไตอาจติดเชื้อได้ง่ายและไตวายเรื้อรังจน ถึงไตหยุดทำงานถาวร และนอกจากปัญหาที่ไตแล้วยังทำให้เกิดถุงน้ำที่อื่นได้ด้วยเช่น ตับ ตับอ่อน รังไข่ อัณฑะ และเกิดหลอดเลือดสมองโป่งพองได้ด้วย

           4. อาการปวดหลังที่เกิดในสตรีมีครรภ์

          อาจเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อยึดกระดูกหย่อนยาน การแบกรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของทารก หรือมดลูกที่โตขึ้น กดทับเส้นประสาททำให้ปวดหลังจนร้าวไปถึงขาได้

           5. ปวดหลังเรื้อรังนานเป็นแรมเดือนและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ 

          หากเป็นในคนอ้วน หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปี อาจเกิดขึ้นเนื่องจากโรคไขข้ออักเสบ หรือกระดูกสันหลังสึกกร่อน การรักษาในกรณีนี้แพทย์จะให้ยาแก้ปวดมาทาน ให้รับการทำกายภาพบำบัด สวมเสื้อดามหลัง แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นคนอ้วนมากก็จะต้องให้ลดน้ำหนัก

          หากใครที่กำลังมีอาการปวดหลังอยู่ให้รีบเช็กตัวเองด่วนนะคะ หรือหากไม่มั่นใจให้พบแพทย์ เพื่อให้แพทย์วินิจฉัย เพราะบางทีหากปล่อยให้ปวดเรื้อรังไปนานเข้า อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายให้ทรุดลงก็ได้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก kapook.com

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เผยเคล็ดลับชะลอวัย

เผยเคล็ดลับชะลอวัย และการดูแลสุขภาพด้วย “แบคทีเรีย”


 ในยุคปัจจุบันเทรนด์การดูแลรักษาสุขภาพยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ การออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆ รวมไปถึงการเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ช่วยสร้างสมดุลและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย 


          ในขณะเดียวกัน “โภชนเภสัช” หรือ “Neutraceutical” ก็กำลังเป็นอีกกระแสที่เป็นที่นิยมเช่นเดียวกันองค์กรด้านสุขภาพได้ให้คำจำกัดความของ Nutraceutical ไว้ว่า “เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากอาหารที่ผ่านการสกัดหรือแยกเป็นสารบริสุทธิ์ และขายในรูปแบบเหมือนยา และมีประโยชน์ต่อร่างกายหรือช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรัง"

          ถ้าแปลสั้นๆ คือความหมายของคำว่า "nutrients" บวกกับคำว่า "pharmaceutics" นั่นก็คือการใช้สารอาหารมาผ่านการทำให้ง่ายต่อการบริโภคเพื่อบำรุงรักษาสุขภาพแทนยา หรือที่เรียกกันในภาษาไทยว่า “โภชนเภสัช”

          โปรไบโอติก (Probiotic) ถือว่าเป็นหนึ่งใน Top5 ของ Nutraceutical ที่มีความสำคัญต่อร่างกาย เป็นเพื่อนแท้ตัวจิ๋ว ที่หลายๆคนอาจมองข้ามไป หรือเรียกได้ว่า เป็น “อวัยวะที่ถูกลืม”
         

          โปรไบโอติก (Probiotic) คือ จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์ และให้ประโยชน์แก่ร่างกาย ทำหน้าที่ ช่วยย่อยอาหาร สังเคราะห์วิตามินบางชนิด ช่วยป้องกันการรุกรานจาก จุลินทรีย์ก่อโรค โดยกลไกหลั่งสารหลายชนิดออกมาต่อต้าน และแย่งพื้นที่เกาะผนังลำไส้ นอกจากนี้โปรไบโอติกยังช่วยกรการศึกษาวิจัยโปรไบโอติกแบคทีเรียในการป้องกันและรักษาโรคกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียง และเป็นการรักษาที่ต้นเหตุของโรคซึ่งเกิดจากความไม่สมดุลระหว่างร่างกายมนุษย์และแบคทีเรียที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในร่างกาย ปัจจุบัน มีหลักฐานการศึกษาชัดเจนว่า โปรไบโอติกมีประสิทธิภาพ ในการป้องกันและลดอาการของโรคติดเชื้อในทางเดินอาหารได้ และมีบทบาทสำคัญในการรักษาภาวะภูมิแพ้ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ตลอดจนการป้องกันและรักษาโรคต่างๆ อีกหลายโรค
         แต่ด้วยวิถีการดำรงชีวิตในปัจจุบัน ทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในร่างกายเรามีปริมาณลดลง ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ได้แก่ 
- การแพ้อาหารแฝง
- การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย
- การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง หรือน้ำตาลสูง 
- การกินอาหารซ้ำๆ ไม่หลากหลาย
- การกินยาปฏิชีวนะ หรือยาแก้ปวดเป็นประจำ
- การดื่มแอลกอฮอล์ หรือสูบบุหรี่ 
- ความเครียด 

          เมื่อเพื่อนแท้ตัวจิ๋วของคุณหายไป คุณจะ…อ่อนเพลียง่าย ไม่มีแรงท้องเสียหรือ ท้องผูกเรื้อรังผิวพรรณไม่สดใส หรือเป็นสิวอักเสบเรื้อรังและในบางคนอาจจะนำมาซึ่งโรคต่างๆ อีกมากมายด้วย
ะตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วย

ขอขอบคุณบทความจาก sanook.com

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เทรนอาหาร 2016

5 เทรนด์อาหาร ปี 2016

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ในปีนี้ อาหารจะไม่ใช่แค่อร่อย แต่ต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ มากขึ้น
อาจารย์ชลธี สีหะอำไพ เชฟประจำโรงแรม Marriott Marquis และ The Ritz Carlton ในกรุงนิวยอร์ก ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการอาหารระดับโลก และแวดวงอุตสาหกรรมอาหารมายาวนานกว่า 30 ปี เผยแนวโน้มอาหาร 2016 ว่า

1. เทรนด์ Green Food ยังคงมาแรง เพราะประชากรเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของอาหารที่ต้องไม่ทำลายธรรมชาติ บวกกับกลุ่มอาหารที่มีอาการแพ้เพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้ผู้บริโภคเลือกอาหารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยอาหารเหล่านี้ต้องมีที่มาที่ไม่ทำลายสภาพแวดล้อม ไม่มีส่วนผสมของสารสังเคราะห์ แต่ละเมนูไม่มีวัตถุดิบเหลือทิ้ง กลุ่มอาหารที่นิยมจะเป็นเห็ด พืชมีหัว ดอกไม้ต่างๆ รวมทั้งการหันมาทานน้ำมันหมู และให้ความรู้แก่ผู้บริโภคด้วยว่า อาหารเหล่านี้มีที่มาอย่างไร มีส่วนผสมของอะไรบ้าง เพื่อป้องกันอาการแพ้


2. เมนูเฉพาะตัวต้องมี โดยเฉพาะร้านอาหารที่ต้องการสินค้า หรือเมนูเฉพาะของตัวเอง ทั้งเมนูพิเศษประจำร้าน เครื่องดื่ม เช่น ในฝั่งตะวันตกจะนิยมผลิตเบียร์หรือไวน์รสชาติเฉพาะของทางร้านเอง เพื่อเป็นจุดขาย ซึ่งในไทยเอง วัตถุดิบอย่างข้าว ดอกไม้ต่างๆ สามารถนำมาครีเอตเป็นเมนูใหม่ๆ ทั้งคาวและหวานได้ จึงน่าจะเป็นโอกาสในการคิดค้น ในจังหวะที่ผู้บริโภคอยู่ในช่วงเปิดใจอย่างเต็มที่ 


3. ผลิตน้อยเจาะตลาดเล็ก การสร้างเครือข่ายในชุมชน เพื่อระดมวัตถุดิบไปจำหน่าย เป็นกระแสที่เกษตรกรต้องหันมาจัมือกัน ซึ่งในแต่ละพื้นที่มีสินค้าที่เหมือน หรือแตกต่างกัน แต่ร่วมกันสร้างแบรนด์ เช่น ผลผลิตออร์แกนิก แบบครอบคลุมทั้งพืชผัก ผลไม้ ข้าว เพื่อรองรับผู้ซื้อที่เป็นรายเล็ก เช่น ครอบครัวหนึ่งๆ ได้ โดยช่องทางที่ง่ายต่อการสื่อสารก็คือ อินเทอร์เน็ต 


4. จานด่วนก็ต้องดีไซน์ ผู้บริโภคมีความต้องการในเรื่องรูปลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสีสัน การจัดวางที่สวยงาม รูปฟอร์มของวัตถุดิบ เพื่อให้เห็นว่า อาหารต้องมีการตลาดที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่ทานอิ่ม รสชาติดี ต้องสวยงามด้วย ผู้บริโภคที่แม้จะซื้อสินค้าพร้อมทานก็ต้องการสิ่งที่พิเศษ ดูดีมากขึ้น 


5. อาหารกับการขายผ่านเทรนด์ออนไลน์ 
มีการเปิดเผยตัวเลขช่องทางจำหน่ายอาหารที่จะได้รับความนิยม และมีการเติบโต โดยในปี 2016 ช่องทางการจำหน่ายอาหารหลัก ยังคงเป็นห้างสรรพสินค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ต โดยในปี 2016 จะอยู่ที่ 75.7% โตเพิ่มขึ้น 8% รองลงมาคือ ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ได้รับความนิยม 38% เติบโต 12% แต่ช่องทางที่มาแรงและมีตัวเลขเติบโตมากที่สุดคือ ช่องทางออนไลน์ ที่มีการเติบโตขึ้น ถึง 89.7%

ช่องทางออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายอาหารรับออร์เดอร์ไปจนถึงช่องทางการค้นหาโปรโมตร้าน จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ตัวอย่างร้านอาหารสำหรับคนที่เป็นมังสวิรัติจะสามารถโปรโมตร้านผ่านทางเว็บไซต์สมาคม เป็นต้น

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

อาหารที่มีปริมาณเอนไซม์สูง

อาหารที่มีปริมาณเอนไซม์สูง และ มีสภาพความเป็นกรด/ด่างที่สมดุล

การรับประทานอาหารที่มีเอนไซม์สูง และ มีค่าความเป็นกรด/ด่างที่สมดุล
อาหารที่มีความเป็นกรดสูงเป็นปัจจัยหนึ่งของการพัฒนาการของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้การที่ร่างกายมีสภาพความเป็นกรดจะเป็นสาเหตุของ โรคภัยต่างๆ ดูแก่กว่าวัย รวมถึงมะเร็ง แนวทางที่จะแก้ความเป็นกรดของร่างกาย ได้แก่การรับประทานอาหารที่มีความเป็นด่างเพื่อจะไปช่วยปรับค่า PH และ เพิ่มออกซิเจนให้แก่ร่างกายได้อีกทางหนึ่งด้วย อาหารที่มีความเป็นด่างทำให้ร่างกายแข็งแรง และ อวัยวะต่างๆทำงานได้อย่างปกติ และยังช่วยต้านโรคมะเร็งอีกด้วย
ค่าความเป็นกรด/ด่าง (PH Balance)
ค่าความเป็นกรด/ด่าง จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0 -14 โดยค่าที่ต่ำกว่า 7 คือสภาพที่เป็นกรด (หรือร่างกายมีออกซิเจนในระดับต่ำ) และ ค่าที่เกินกว่า 7 คือสภาพที่เป็นด่าง
ในสภาวะปกติ เลือด น้ำเหลือง และ ของเหลวในไขสันหลัง จะมีค่า PH ที่ประมาณ 7.4 ที่ค่า PH ที่สูงกว่า 7.4 เล็กน้อยเซลล์มะเร็งจะยังสามารถคงอยู่ได้แต่จะไม่พัฒนาหรือแพร่กระจาย แต่ที่ระดับ PH 8.5 เซลล์มะเร็งจะตายและเซลล์ที่ดีจะยังอยู่

พัฒนาการของมะเร็งเป็นไปตามระยะดังนี้:
1. ร่างกายมีการย่อยอาหารที่มีสภาพเป็นกรด อาหารที่มีไขมันสูง อาหารฟอกขาว สารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น ไนเตรด สารเคมีปนเปื้อนต่างๆ นอกจากนี้รังสีจากเอกซ์เรย์ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งด้วย
2. มีอาการท้องผูกต่อเนื่อง
3. เลือดมีสภาพเป็นกรด ซึ่งเป็นผลให้มีการเพิ่มขึ้นของเซลล์เม็ดเลือดขาว และการลดลงของเซลล์เม็ดเลือดแดง หรือ เป็นจุดเริ่มต้นของโรค ลิวคีเมีย
4. ของเหลวภายนอกเซลล์มีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น
5. ของเหลวภายในเซลล์มีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น
6. มีการกลายสภาพของเซลล์ ในระยะนี้ถือว่าเป็นระยะเริ่มแรกของมะเร็ง
7. หากร่างกายยังคงได้รับอาหารที่มีสภาพเป็นกรดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบำบัดด้วยรังสี สารเคมี หรือ ยา ในระดับความเข้มข้นสูง จะยิ่งไปทำให้การแพร่กระจายเป็นไปได้มากขึ้น
ข้อมูลจาก “Acid Alkaline” by Herman Aihara
หากจะพูดถึงอาหารที่เป็นกรด/ด่าง เราสามารถแยกพิจารณาเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1.  อาหารที่เป็นกรดหรือด่าง หมายถึง ความเป็นกรดหรือด่างที่มีอยู่ในตัวอาหารเอง
2.  อาหารประเภทที่ก่อให้เกิดความเป็นกรดหรือด่าง หมายถึงอาหารที่หลังจากรับประทานและผ่านกระบวนการย่อยแล้ว จะไปเปลี่ยนสภาพร่างกายให้เป็น กรด หรือ ด่าง
สภาวะที่เป็นกรดจะไปขัดขวางการทำงานของเส้นประสาท ในขณะที่สภาวะที่เป็นด่างช่วยกระตุ้น การอาบน้ำเย็นก็สามารถช่วยให้เลือดมีความเป็นด่างขึ้นได้ แต่การอาบน้ำอุ่นจะให้ผลตรงกันข้าม การบริโภคอาหารที่มีความสมดุลย์จะช่วยให้ค่า PH ของเลือดสมดุลย์ได้ แม้จะใช้เวลากว่าที่จะเห็นผล หากเลือดของเราเริ่มจะมีสภาพที่เป็นกรด ร่างกายจะนำสภาพความเป็นกรดนั้นไปกักเก็บไว้ตามส่วนต่างๆโดยที่เรามองไม่เห็น เพื่อให้สภาพของเลือดมีความเป็นด่างทำให้เราดำรงชีวิตได้โดยไม่มีปัญหา เมื่อการสะสมของกรดนานวันเข้าอวัยวะที่เก็บกรดส่วนเกินนั้นไว้ก็จะเริ่มมีปัญหา หรือเซลล์บริเวณนั้นๆจะเริ่มตายไปในที่สุด
เซลล์บางเซลล์ในร่างกายอาจจะกลายสภาพแทนที่จะตายไปในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เมื่อมันเป็นเซลล์กลายสภาพ(Malignant Cells) เซลล์นั้นจะมีสภาพที่เป็นอันตรายมาก เซลล์กลายสภาพจะไม่ตอบสนองต่อการสั่งงานของสมอง หรือไม่ได้ทำหน้าที่ตามที่รหัสความจำ DNA กำหนดไว้ เซลล์กลายสภาพจะเจริญเติบโตไม่สิ้นสุดและไม่เป็นไปตามคำสั่ง ซึ่งเราเรียกเซลล์กลายสภาพเหล่านี้ว่า มะเร็ง
อาหารที่ผู้ป่วยมะเร็งควรและ ไม่ควรรับประทาน
น้ำตาล
ถือว่าเป็นอาหารที่เลวร้ายสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง เนื่องจาก น้ำตาลคืออาหารขอ่งเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้น้ำตาลยังเป็นปัจจัยให้ดูแก่เกินวัย ดังนั้นผู้ป่วยมะเร็งจึงควรงดบริโภคน้ำตาล และ อาหารที่มีน้ำตาล
ผู้ป่วยมะเร็งควรจะต้องหยุดรับประทานอาหารปรุงสุกและอาหารประเภทเนื้อ หมู แกะ และสัตว์ปีก อาหารปรุงสุกถือว่าเป็นอันตรายกับผู้ป่วยมะเร็ง เนื่องจากปริมาณเอนไซม์ที่ร่างกายจะต้องใช้ในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็งจะถูกใช้ไปในการย่อยอาหารที่ย่อยยากๆอย่างพวกเนื่อสัตว์ เอนไซม์ที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติควรจะถูกใช้ไปกับการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง การรับประทาน เอนไซม์ (Enzyme) ซึ่งเป็นอาหารเสริมเป็นประจำอย่างต่อเนื่องจะช่วยแก้ปัญหาซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง ได้แก่ อาการท้องผูก และ เอนไซม์จะช่วยย่อยสลายของเสียในเลือด ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้เป็นอย่างดี
เบคกิ้งโซดา เบคกิ้งโซดา หรือ โซเดียมไบคาร์บอร์เนต คือแหล่งอาหารที่มีความเป็นด่างสูงและให้ออกซิเจนได้มาก
Dr. Tullio Simoncini ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอกวิทยาชาวอิตาลี่ ใช้วิธีทำลายเซลล์มะเร็งด้วยโซเดียมไบคาร์บอเนต ซึ่งเป็นสารที่มีความปลอดภัย ราคาถูกไม่เป็นอุปสรรคหรือไม่มีผลข้างเคียงต่อเซลล์เนื้อเยื่อ และยังเป็นตัวทำลายเซลล์มะเร็งเมื่อได้สัมผัสกับเซลล์มะเร็งจากการที่มันมีสภาพเป็นด่าง ซึ่งจะทำให้เป็นสภาวะที่ออกซิเจนสามารถเข้าถึงเนื้อเยื่อได้มากขึ้น และเนื่องจากเซลล์มะเร็งไม่สามารถจะเจริญเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมของออกซิเจน ดังนั้น โซเดียมไบคาร์บอร์เนตจึงเป็นสารที่จะปราบเซลล์มะเร็งได้
Coral Calcium 
Coral Calcuim เป็นสารที่ใช้ในการขจัดความเป็นกรดและทำให้ร่างกายมีค่า PH ที่สมดุลย์

กระเทียม
กระเทียมมีสารที่ช่วยการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว และ ปกป้องร่างกายจากโรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการทำลายเนื้อเยื่อที่เจริญเติบโตผิดปกติ
Dr. Shulze หนึ่งในสุดยอดผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับธรรมชาติบำบัดและสมุนไพรบำบัดของโลก ได้ค้นพบว่า กระเทียมสามารถกระตุ้นการสร้างโปรตีนกลุ่มหนึ่งเรียกว่า Interferon ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยเสริมการทำลาย และ หยุดการเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ และยังสามารถช่วยลดอาการเจ็บปวดที่เกิดจากเนื้อร้าย

Cayenne Pepperพริกป่นชนิดที่เรียกว่า Cayenne Pepper ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเซลล์มะเร็งจะเติบโตในที่ที่การไหลเวียนโลหิตไม่ดี พริกป่นถือว่าเป็นเครื่องเทศที่เก่าแก่และมีสรรพคุณในการเยียวยาได้ดีมาอย่างยาวนาน Dr. Shulze กล่าวไว้ว่าการได้รู้จักถึงสรรพคุณของพริกป่นอย่างลึกซึ้งจะช่วยให้คุณและครอบครัวรู้จัดการบำบัด ได้ดีกว่าการทีคุณรู้จักสรรพคุณแบบผิวเผินของสมุนไพรอื่นๆอีก 20 ชนิดเสียอีก
องุ่นสีม่วง
ทั้งผล ผิว และเมล็ด ขององุ่นสีม่วง แดง หรือ ดำ มีส่วนประกอบที่สามารถจะปราบเซลล์มะเร็งได้ และ ยังสามารถหยุดการแพร่กระจายเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้องุ่นม่วงยังช่วยในการขับล้างสารพิษ (Detoxify) เป็นอย่างดี

มังคุด
“จากการศึกษาเรื่องสมุนไพรจากพืชที่มีออกฤทธิ์เป็นยา พบว่า สารชนิดหนึ่งในผลมังคุด (บางตำราเรียกว่า xanthones) มีฤทธิ์ต้านเนื้อร้าย ป้องก้นลูคีเมีย ต้านเชื้อรา แบคทีเรีย (ซึ่งช้วยปกป้อง DNA) และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (ในมังคุดมีสาร Xanthones ไม่ต่ำกว่า 24 ชนิด) ซึ่งสามารถต้านการแพร่กระจายและจัดการกับเซลล์มะเร็งโดยไปเร่งกระบวนการที่ทำให้เซลล์ผิดปกติบางชนิดตาย

เมล็ดแอพพริคอท (แหล่งของวิตะมิน B17)
วิตะมินบี 17 พบในเมล็ดผลไม้เกือบจะทุกชนิด โดยเฉพาะเมล็ดแอพพริคอท การใช้วิตะมินบี 17 Laetrile หรือ Amygdalin ในการบำบัดมะเร็งในมนุษย์นั้นมีมาตั้งแต่ปี 1843 และ มีรายงานในการแพทย์แผนจีนโบราณว่าได้มีการใช้เมล็ดอัลมอนด์ขม ซึ่งมีปริมาณวิตะมินบี 17 อย่างสูงในการรักษาเนื้อร้ายมากว่า 3,000 ปีแล้ว วิตะมินบี 17 หรือ Laetrile คือชื่อที่ใช้เรียกสาร Amygdalin บริสุทธิ์ ซึ่งตั้งให้โดยบริษัท Ernst T Krebs ในปี 1952
คุณอาจจะสงสัยว่า ทำไมจึงไม่มีใครทราบเรื่องนี้กันอย่างแพร่หลาย??
อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคมะเร็งมีมูลค่าถึง 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และ การค้นพบสารที่สกัดจากธรรมชาติอย่างเช่น วิตะมินบี 17 นั้น ไม่ได้ทำให้บริษัทผู้ผลิตยาแผนปัจจุบันสามารถที่จะครอบครองลิขสิทธิ์การค้นพบเพื่อต่อยอดทางธุรกิจได้นั่นเอง
ข้อเท็จจริง : เมล็ดของแอพพริคอท ซึ่งอุดมไปด้วยวิตะมินบี 17 สามารถป้องกันและปราบเซลล์มะเร็งได้ ชาวเผ่าเอสกิโม โฮปิ นาวาโฮ และ ฮันซาส มักจะรับประทานวิตะมินบี 17 กันเป็นประจำ ปรากฏว่าพวกเขาจะเป็นพวกที่ไม่เป็นมะเร็งกันเลย
มีบริษัทผู้ผลิตยาแผนปัจจุบันหลายบริษัท ได้ร่วมมือกับหน่วยงานด้านเภสัชกรบางแห่งได้พยายามผลักดันให้ FDA กำหนดให้การจำหน่ายเมล็ดแอพพริคอทดิบๆ หรือ การโฆษณาว่า วิตะมินบี 17 มีฤทธิ์ในการรักษา และ ต่อต้านมะเร็ง เป็นเรื่องที่ผิดกฏหมาย เราจึงเห็นว่าในทุกวันนี้ไม่มีการจำหน่ายเมล็ดแอพพริคอทดิบ ตามร้านอาหารเพื่อสุขภาพ แต่จะมีประเภทอบแห้งมาแล้วซึ่งเอนไซม์ต่างๆได้ถูกทำลายไปแล้ว
ชาสมุนไพร ESSIAC 
ในปี 1937 Dr. John Wolfer, ผู้อำนวยการสำนักคลีนิคโรคมะเร็งแห่งมหาวิทยาลัยการแพทย์นอร์ทเวสเทอร์น ได้จัดให้มีการแถลงผลของการใช้ ชาสมุนไพร Essiac กับคนไข้ที่ชื่อ Rene Caisse ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งและได้รับการบำบัดรักษาด้วยสมุนไพรที่คิดค้นโดยชาวอินเดียนแดง และ ได้นำมาใช้กับคนไข้มะเร็งระยะสุดท้าย 30 คน ภายใต้การดูแลของนายแพทย์ 5 คน หลังจากการบำบัดผ่านไปได้ 18 เดือน นายแพทย์ทั้งห้ามีข้อสรุปว่า ESSAIC มีสรรพคุณในการลดอาการเจ็บปวด ทำให้เนื้อร้ายทุเลาลง และ เพิ่มโอกาศในการมีชีวิตรอดออกไปได้
Marine Phytoplankton
Tom Harper ชาวแคนาดา เป็นผู้ค้นพบ Marine Phytoplankton โดยบังเอิญ Tom พบว่า Marine Phytoplankton เป็นสารอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนที่สุดเท่าที่หาได้ในโลกนี้ เขาใช้มันรักษาอาการมะเร็งที่กำลังฆ่าเขาอยู่ นอกจากจะรักษามะเร็งแล้ว Marine Phytoplankton ยังช่วยรักษาอาการเบาหวานที่เขาเป็นอยู่ด้วย

มหัศจรรย์เอนไซม์ ตอนที่ 2


มหัศจรรย์ "เอนไซม์" มนุษย์อาจอายุยืนได้ถึง 120 ปี (ตอนที่ 2)


ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

       
       ความเดิมจากในตอนที่แล้วที่ได้อธิบายความว่าถึงความสำคัญของเอนไซม์ และสรุปในตอนท้ายจากตัวอย่างงานวิจัยในประเทศไทยว่า “การหมักพืชอย่างถูกวิธี” เป็นหนทางทำให้ได้”คุณค่าของสารอาหารเพิ่มขึ้น” และทำให้ “เพิ่มปริมาณเอนไซม์” และสามารถ “เพิ่มปริมาณแบคทีเรีย”ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้นได้ด้วย
       
       สรุปความลับของ “เอนไซม์” ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายนั้นมีอยู่ว่า
       
       1.ร่างกายเรามีเอนไซม์อยู่จำกัด ถ้าเรากินอาหารไม่ดีหรือสร้างเอนไซม์ได้น้อย เราก็
       ต้องสูญเสียเอนไซม์ที่ใช้สำหรับการย่อย (Digestive Enzyme) ไปมากขึ้น และถ้าเรามีเอนไซม์สำหรับการย่อยไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะใช้เอนไซม์ในการเผาผลาญพลังงาน (Matabolic Enzyme)มาช่วยในการย่อยต่อ
       
       เอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme) ถ้ามีน้อยลงไปตรงนี้มีความสำคัญมาก เพราะจะทำให้ร่างกายเราก็จะผลิตเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายลดลง การเร่งปฏิกิริยาเคมีเพื่อเผาผลาญสารอาหารและสร้างพลังงานก็เสื่อมลง การสร้างภูมิต้านทานน้อยลง ความสามารถในการสร้างการเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะต่างๆก็ด้อยลงไป จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการป่วยลงของมนุษย์ในแทบทุกโรค
       
       2.ความลับของเอนไซม์มีอยู่ที่ว่า เอนไซม์มีในอาหารทั้งที่เป็นพืชและสัตว์ แต่เอนไซม์
       ที่ได้จากอาหารจะเสื่อมคุณภาพจนถึงใช้การไม่ได้ถาวรทันทีเมื่อเจออุณหภูมิสูงกว่า 47 องศาเซลเซียส ทีนี้เมื่อมาทบทวนดูว่าเราได้รับประทานอาหารอะไรบ้างที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 47 องศาเซลเซียสบ้าง ก็จะพบว่าเป็นเรื่องยากมาก
       
       เนื้อสัตว์เราแทบจะไม่สามารถรับประทานแบบดิบๆ ได้เลย เพราะอาจจะเจอพยาธิหรือโรคอื่นๆที่ติดมากับเนื้อสัตว์นั้นๆ ในขณะที่การรับประทานผักส่วนใหญ่ของมนุษย์ก็มักจะผ่านความร้อนทั้งการต้ม การผัด การทอด ฯลฯ ดังนั้นแม้เราจะได้สารอาหารจากอาหารเหล่านี้แต่เราจะไม่ได้ “เอนไซม์จากผัก”ในลักษณะแบบนี้ได้อีกเช่นกัน คงเหลือแต่ผักและผลไม้แบบดิบๆ (เช่น ผักสลัด)หรือผ่านความร้อนที่อุณหภูมิต่ำๆ ที่มนุษย์จะรับประทานได้โดยที่ยังคงเพิ่มเอนไซม์ในร่างกายได้เท่านั้น
       
       คำถามมีอยู่ว่า เมื่อเราได้ทบทวนการกินอาหารแล้วในยุคปัจจุบัน มนุษย์ส่วนใหญ่ได้รับเอนไซม์ที่มาจาก “อาหารที่เป็นผักดิบและผลไม้สด”น้อยกว่า “อาหารที่เอนไซม์ตายแล้ว”ทำให้ต้องสิ้นเปลืองเอนไซม์ที่ใช้สำหรับการย่อย (Digestive Enzyme) และ เอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme) อยู่ตลอดเวลา มนุษย์ส่วนใหญ่จึงตกอยู่ในภาวะ “มีเอนไซม์ขาเข้าร่างกายน้อยลงทุกวัน แต่มีขาออกจากร่างกายเพิ่มมากทุกวัน” !!!
       
       มนุษย์ส่วนใหญ่แทบทุกคนเมื่ออายุมากขึ้นระบบการย่อยและการขับถ่ายจึงเสื่อมลงแทบทุกคน ภูมิคุ้มกันลดลง การซ่อมแซมอวัยวะส่วนที่สึกหรอจึงลดลงตามลงไปด้วย ทั้งหมดเพราะกินไม่ดีจึงสูญเสียเอนไซม์ลงไปทุกวัน
       
       ในทางตรงกันข้ามถ้าเรามีเอนไซม์จากอาหารมากเพียงพอ เราจะสิ้นเปลืองเอนไซม์จากการย่อยอาหารน้อยลงไป (Digestive Enzyme) ส่งผลทำให้เราสิ้นเปลืองเอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme)น้อยตามลงไปด้วย
       
       “นายลี ชิง ยุน” ชาวจีนที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลกคือ 256 ปี และรับประทานอาหารมังสวิรัติอย่างเดียวและอาหารสดจำนวนมากทั้งจากผักและผลไม้สด ซึ่งหมายถึงเขามีเอนไซม์จากอาหาร (Food Enzyme) คอยเพิ่มเข้ามาในร่างกายอยู่ตลอดเวลา
       
       คำถามย่อมมีอยู่ว่าหลายคนที่อายุมากและสูญเสียเอนไซม์จากการย่อย และเอนไซม์ในการเผาผลาญอาหารไปแล้ว แต่อยากจะเริ่มรับประทานอาหารผักและผลไม้แบบสดๆ จะรับประทานได้มากพอจริงหรือไม่เพื่อให้มีเอนไซม์ที่หลากหลายให้ใกล้เคียงกับเอนไซม์ทุกชนิดตามที่ร่างกายสูญเสียไปได้หรือไม่นั้น คำตอบคือ “ไม่ใช่เรื่องง่าย”
       
       ยกตัวอย่างเช่น เอนไซม์ที่มีชื่อว่า “ปาเปน”(Papain) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ผลิตได้จาก “มะละกอ” ซึ่งทำหน้าที่ย่อยสลายโปรตีนให้เล็กจนเท่ากรดอะมิโน (Amino Acid) หรือเอนไซม์ “บรอมมิเลน” (Bromelain) เป็นเอนไซม์อีกประเภทที่ช่วยย่อยโปรตีน ได้มาจาก “แกนของสับปะรด” ก็ล้วนเป็นเอนไซม์จากอาหารที่ช่วยย่อยสลายโปรตีนทั้งสิ้น และอาหารทั้งคู่ก็จัดอยู่ในหมวด “อาหารฤทธิ์ด่าง”
       
       ถ้าเรามีเอนไซม์ที่ย่อยสลายโปรตีนมากพอก็จะสามารถป้องกันได้หลายโรค เพราะถ้าเอนไซม์ย่อยโปรตีนมีไม่มากพอหรือลดน้อยเสื่อมลงไปโปรตีนที่ย่อยไม่สมบูรณ์ก็จะรั่วซึมเข้ามาในระบบเลือด และกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายคิดว่าเป็นศัตรู จึงสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเฉพาะทำลายจึงก่อให้เกิดโรคต่างๆขึ้น เช่น การแพ้อาหาร โรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคแพ้ภูมิตัวเอง ฯลฯ
       
       แต่เราทำร้ายตัวเองยิ่งไปกว่านั้นโดยเฉพาะการรับประทานยาปฏิชีวนะเป็นประจำ เพราะยาปฏิชีวนะมีคุณสมบัติเป็นตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ของแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ หรือไม่สามารถแบ่งตัวเพิ่มออกไปได้เพราะไม่สามารถสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ ก็จะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในร่างกายตายไปด้วย ส่งผลทำให้เอนไซม์ที่จะได้จากแบคทีเรียเหล่านี้ก็จะลดน้อยลงไปอีก จึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกเลยว่าคนที่เป็นโรคภูมิแพ้จำนวนมามักจะมีประวัติรับประทานยาปฏิชีวนะต่อเนื่องมาก่อน
       
       ความจริงแล้วเราสามารถกินอาหารที่เลือกเอนไซม์ได้เป็นอย่างๆเท่านั้น ไม่สามารถกินอาหารได้เอนไซม์ครบทุกอย่างตามที่เราขาดไปทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาในสิ่งที่ขาดหรือสิ่งที่เราต้องการย่อยอาหารได้
       
       แม้กระทั่งหลักสูตรล้างพิษตับ ซึ่งมีการดื่มน้ำมันมะกอกจำนวนมากก็เพื่อเร่งให้ตับและถุงน้ำดีเร่งขับน้ำดีออกมาเป็นจำนวนมากและนำสิ่งตกค้างออกมาจากตับและถุงน้ำดีด้วย เพราะน้ำดีเป็นด่างไบคาร์บอเนต (pH 7.5-8.8) และเอนไซม์ไลเปสซึ่งผลิตมาจากตับอ่อนซึ่งมีหน้าที่ย่อยน้ำมันมะกอกจะทำงานในการย่อยได้ในสภาวะความเป็นด่าง ดังนั้นแม้จะเป็นข่าวดีที่เราได้ขับของเสียออกจากตับและถุงน้ำดีเพราะการขับน้ำดีออกมาเป็นจำนวนมาก แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเราได้สูญเสียเอนไซม์ไลเปสเพื่อมาย่อยน้ำมันมะกอกด้วยเช่นกัน ดังนั้นหลักสูตรล้างพิษตับจึงจำเป็นต้องอดอาหารล่วงหน้าพอสมควรเพื่องดการใช้เอนไซม์ไลเปสจากตับอ่อน และหลังหลักสูตรล้างพิษก็ควรจะเลือกรับประทานอาหารที่เพิ่มปริมาณเอนไซม์ไลเปส ซึ่งเอนไซม์ไลเปสสามารถพบได้ในเนื้อเยื่อพืช ผัก ผลไม้ เช่น ข้าวโอ๊ต รำข้าว ถั่วเหลือง ฯลฯ
       
       แต่ด้วยภูมิปัญญาของมนุษย์ในด้านการหมัก เราจึงมีโอกาสที่จะนำพืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช มารวมกันและหมักเพื่อให้เร่งและเพิ่มปริมาณเอนไซม์ที่หลากหลายที่สุดสำหรับการบริโภค เพราะองค์ความรู้ที่ว่าการหมักนั้นสามารถเพิ่มคุณค่าทางอาหาร ทำให้ย่อยและดูดซึมง่าย และเพิ่มปริมาณเอนไซม์ และหากหมักด้วยกรรมวิธีและการควบคุมที่ดีเราก็จะได้แบคทีเรียและเอนไซม์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่เพียงอย่างเดียวได้ด้วย
       
       การหมักที่ดีควรจะรู้ว่า “หัวเชื้อ”ที่เป็นจุลินทรีย์เรานำมาใช้นั้นคืออะไร และมีวัตถุประสงค์อะไร และระบบการหมักสามารถควบคุมไม่ให้เชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่พึงประสงค์แปลกปลอมเข้ามาในการหมักได้มากแค่ไหน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะได้แต่จุลินทรีย์และเอนไซม์ที่ดีและได้มาตรฐานจากการหมัก แต่อย่างน้อยเราน่าจะมีข่าวดีอยู่ที่ อ.แก่นฟ้า แสนเมือง ปราชญ์คนหนึ่งแห่งศีรษะอโศก ได้แจ้งว่าเมื่อส่องกล้องในระหว่างการหมักในภาวะความเป็นกรดจะพบว่าแบคทีเรียจะเหลือแต่เพียงตระกูลบาซิลลัสเท่านั้น ส่วนเชื้อแบคทีเรียอื่นๆได้ตายหมดไปแล้ว ดังนั้นในขั้นตอนนี้จึงจำเป็นต้องเพิ่มน้ำตาลให้อาหารกับแบคทีเรียที่ดีขยายตัวเติบโตต่อไปในน้ำหมักต่อไป 
       
       ส่วนที่บางคนกังวลเรื่องน้ำตาลในน้ำหมักจะทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ก็ขอแจ้งให้ทราบว่าในโอกาสนี้ว่าผู้เชี่ยวชาญและส่งออกน้ำเอนไซม์รายใหญ่ที่สุดของโลกจากไต้หวันได้ให้ความรู้กับเราว่าน้ำตาลในน้ำหมักที่กินเข้าไปอาจทำน้ำตาลในเลือดช่วงแรกเพิ่มขึ้นแต่เมื่อและจุลินทรีย์และเอนไซม์มีมากพอจากน้ำหมักมีมากแล้ว เอนไซม์ในการเผาผลาญอาหาร (Metabolic Enzyme) ก็จะทำงานดีขึ้นทำให้การเผาผลาญน้ำตาลในเลือดดีขึ้นและทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงในเวลาต่อมา 
       
       ส่วนที่บางคนมีความกังวลว่า น้ำหมักเมื่อวัดค่า pH แล้วจะเป็นกรดอย่างแรงจะทำให้เสีย
       สมดุลกรด-ด่างหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเอนไซม์จากไต้หวันให้ความรู้เราเพิ่มเติมว่า กรดที่เกิดในน้ำหมักที่ได้จากพืช ผัก ผลไม้ที่ออกฤทธิ์เป็นด่างเมื่อย่อยสลายในร่างกายแล้วก็จะเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ฤทธิ์ด่างในท้ายที่สุดเช่นกัน
       
       สุดท้ายอาจจะมีข้อสงสัยว่าเอนไซม์จากน้ำหมักจะมีประโยชน์ต่อร่างกายจริงหรือไม่ เพราะอาจถูกกรดในกระเพาะอาหารทำลายหมดหรือไม่ ในเรื่องนี้ได้ปรากฏมีบทความของนักวิจัยที่มีชื่อเสียงด้านโภชนาการและเอนไซม์คนหนึ่งชื่อ ดร.วิคโตราส คัลวินสแคส (Dr.Viktoras Kulvinskas) ได้เขียนเอาไว้ว่า
       
       “ประมาณการว่าร้อยละ 80 ของโรคมีต้นเหตุมาจากอาหารไม่ย่อย และก่อให้เกิดการเน่าเสียและสารพิษเหล่านี้ซึมเข้าไปในร่างกาย” 
       
       ดร.วิคโตราส คัลวินสแคส มีงานวิจัยด้านโภชนาการเอนไซม์ที่แสดงว่า กรดในกระเพาะอาหารที่ดูเหมือนว่าจะหยุดการทำงานของเอนไซม์ที่ได้จากอาหาร แต่เมื่อเอนไซม์เดินทางมาถึงลำไส้เล็กแล้วก็จะกลับตื่นฟื้นขึ้นมาทำงานได้อีกครั้งตามปกติในสภาพวะความเป็นด่าง
       
       ถึงเวลาที่ประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ใกล้บนเส้นศูนย์สูตร มีพืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช ที่หลากหลายที่สุดในโลก ควรก้าวไปข้างหน้ากับการวิจัย เผยแพร่ และ ขยายผลทางวิชาการนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อความเป็นเลิศในด้านเอนไซม์ในระดับโลกได้แล้ว !!!